เริ่มจากร่างประมวลกฎหมายยาเสพติดที่เข้าสู่รัฐสภา เป็นการประชุมร่วมกันระหว่าง ส.ส. และ ส.ว. ได้เสนอมาตอนนั้นในร่างมาตรา 29 มันไม่มีคำว่า "กัญชา" อยู่ตั้งแต่ร่างมาแล้ว ทั้ง ๆ ที่กัญชาประเภท 5 เป็นยาเสพติดที่ถูกให้ความสำคัญมาตลอด ใน พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ
ต่อมารัฐสภาได้ทำการพิจารณาร่างประมวลกฎหมาย ยาเสพติด ซึ่งเสนอโดยรัฐบาล
ในมาตรา 29 ประเภท 5 มันไม่มีคำว่า ”กัญชา” อยู่ ซึ่งมีคำว่าพืชฝิ่น กับเห็ดขี้ควาย 2 อย่างเท่านั้น ซึ่งเมื่อก่อนตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษปี 2522 ประเภท 5 มันมีคำว่ากัญชา ยาฝิ่น กระท่อม แล้วก็ถอดกระท่อมออกเหลือ 2 อย่าง
นายศุภชัย ใจสมุทร เฝ้าเกาะติด มาตรา 29 มาตลอด มีคนเสนอว่า ควรจะต้องมีคำว่ากัญชาด้วยไหม ในการประชุม นายศุภชัย ใจสมุทร เข้าร่วมประชุมด้วย บอกว่า ไม่ มันไม่มาตั้งแต่แรก นายศุภชัยเป็นรองประธาน ในเวลานั้น บอกว่าไม่ต้องมีคำว่ากัญชา นี่คือที่มาทั้งหมด
พฤศจิกายน 2564
- รัฐสภาทำการพิจารณาแล้วเสร็จ จึงมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา และ มีผลบังคับใช้หลังจากนั้นอีก 30 วัน
8 ธันวาคม 2564
- จุดเริ่มต้นของการปลดล็อกกัญชา
- ประมวลกฎหมายยาเสพติด มีผลใช้บังคับ โดยการลงมติเห็นชอบ พร้อมทั้ง ส.ส. สว. ทั้งฝ่ายค้าน ทั้งฝ่ายรัฐบาล
ดังนั้นกัญชาไม่ได้เป็นยาเสพติดนับตั้งแต่วันที่ 8/12/2564 จนถึงปัจจุบัน
มกราคม 2565
- คณะกรรมการ ป.ป.ส.ได้มีการจัดประชุม คือตามกฎหมายมาตรา 29 กำหนดว่า ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขโดยคำแนะนำของคณะกรรมการควบคุมยาเสพติด และโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ซึ่งมีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบเรื่องนี้ ให้ประกาศระบุประเภทของยาเสพติดแต่ละประเภท
- รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้เสนอต่อที่ประชุม คณะกรรมการ ป.ป.ส. ว่าสิ่งที่เป็นยาเสพติด คือ 1 คือ พืชฝิ่น 2 คือเห็ดขี้ควาย 3 คือสารสกัดจากกัญชา มีปริมาณสารเตตราไฮโดรแคนาบินอล (tetrahydrocannabinol – THC) เกิน 0.2 % ที่ยังเป็นยาเสพติด
- พรรคภูมิใจไทย ขอให้มีการประกาศบังคับใช้ โดยมีการนับไปอีก 120 วัน ก็คือวันที่ 8 มิถุนายน 2565
- นายศุภชัย เสนอ จะต้องมีกฎหมายพ.ร.บ. กัญชา กัญชง มาอีกฉบับหนึ่ง
- ที่ประชุมมอบให้พรรคภูมิใจไทย ซึ่งมีฉบับร่างอยู่แล้ว นำฉบับร่างพ.ร.บของพรรคภูมิใจไทย ที่เกี่ยวกับการทำเรื่องกัญชาเสรีทางการแพทย์นั้นมายื่น เพื่อให้ทันภายใน 120 วัน โดย อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้ไปยื่นต่อ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาเองโดยตรง
- นายชวน หลีกภัย ประธานสภา พิจารณาบรรจุเข้ามาเป็นร่างพระราชบัญญัติต่อไปได้ และนายกรัฐมนตรีได้อนุมัติรับรองให้ทันทีทันใด
9 มิถุนายน 2565
- วันที่ 9 มิถุนายน 2565 ได้ตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมา 25 คน และทำการพิจารณากันจนแล้วเสร็จ ผ่านไป 19 วันมีการประชุมรัฐสภาอีกครั้ง ปรากฏว่า มีการเสนอเข้าที่ประชุมแล้ว การเปิดเสรีกัญชานั้นได้ถูกตีตก จากพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อไทย พลังประชารัฐ ก้าวไกล และพรรคประชาชาติ ไม่ยอมให้กฎหมายผ่านมติการประชุม
- พ.ร.บ.กัญชา กัญชง เข้าสู่วาระที่ 2 มี ส.ส.จากพรรค ประชาธิปัตย์ เพื่อไทย ก้าวไกล ประชาชาติ ยืนยันจะเอากัญชากลับไปเป็นยาเสพติด จน ณ วันนี้สภาปิด พ.ร.บ.กัญชา ก็ค้างในสภา พรรคภูมิใจไทย เดินหน้าต่อ เพื่อจะทำกัญชาทางการแพทย์ตั้งแต่หาเสียง และเศรษฐกิจ จะไม่เอานันทนาการ พรรคภูมิใจไทย จะเอากัญชาทางการแพทย์เท่านั้น แต่โดนบิดเบือนจากพรรคการเมืองตรงข้ามพรรคภูมิใจไทย
10 มิถุนายน 2565
- อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดประชุมวิชาการ “มหกรรมกัญชา 360 องศา ปลดล็อคกัญชา ประชาชนได้อะไร” พร้อมแจกต้นกล้ากัญชา 1 พันต้น ณ จังหวัดบุรีรัมย์
16 มิถุนายน 2565
- กระทรวงสาธารณสุขออกประกาศ สธ. มีผลบังคับใช้วันที่ 17 มิ.ย 2565 เรื่อง สมุนไพรควบคุม (กัญชา) โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 4, 44, 45(3), 45(4) แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 กำหนดให้กัญชา หรือสารสกัดกัญชา เป็นสมุนไพรควบคุม
18 มิถุนายน 2565
- อนุทิน ชาญวีรกูล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย แจง ประกาศ สธ. กัญชาเป็นสมุนไพรควบคุม มีผลตามกฎหมายแล้ว
การขับเคลื่อนนโยบายกัญชาเสรีทางการแพทย์ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กว่า ๑ ปี ในช่วงแรกเน้นให้ประชาชนเข้าถึงยากัญชาทางการแพทย์ ที่ได้มาตรฐานจากสถานพยาบาลใกล้บ้านกว่า ๓๐๐ แห่งทั่วประเทศ
การผลักดันนโยบายกัญชาดำเนินไปอย่างต่อเนื่องโดยพรรคภูมิใจไทย จนกระทั่ง วันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๖๒ ได้มีการเสนอร่างกฎหมาย ๒ ฉบับ คือ ร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ แก้ไขเพิ่มเติม และร่างพระราชบัญญัติสถาบันพืชยาเสพติดแห่งประเทศไทย หรือที่รู้จักกันในชื่อ "กฎหมายปลูกกัญชาบ้านละ ๖ ต้น" เพื่อปลดล็อคกัญชาให้สามารถใช้ทางการแพทย์ได้อย่างแพร่หลาย และประชาชนสามารถปลูกได้ตาม นโยบาย ที่พรรคฯ หาเสียงไว้ในช่วงเลือกตั้ง
นโยบายปลดล็อกกัญชานี้ ออกมาเพื่อดึงดูดประชาชนให้สนใจ สนับสนุน และเลือกพรรคภูมิใจไทยเป็นรัฐบาล และให้นายอนุทิน ชาญวีรกูลหัวหน้าพรรค เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อที่จะได้ทำให้กฎหมายฉบับนี้ผ่านมติ นายอนุทินยังกล่าวอีกว่า กัญชามีประโยชน์ ทั้งทางด้านการแพทย์ สุขภาพของประชาชน ช่วยในการรักษาโรคมากมาย และ ยังเป็นผลดีในทางด้านเศรษฐกิจอีกด้วย การคืนกัญชาให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์นี้ช่วยสร้างรายได้เสริม และ เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ พรรคภูมิใจไทยยังย้ำว่าถ้าไม่เลือกพรรคภูมิใจไทย คนที่ปลูกหรือใช้กัญชาจะกลับไปติดคุก
แต่ดูเหมือนว่าเกมที่พรรคภูมิใจไทยได้คิดไว้เหมือนจะพลิก เนื่องจาก พรรคประชาธิปัตย์ เพื่อไทย พลังประชารัฐ ก้าวไกล และพรรคประชาชาติไม่ได้ลงมติเห็นชอบกับ พ.ร.บ กัญชาดังกล่าว พ.ร.บ จึง ถูกตีตกไป น่าจะเป็นด้วยเหตุผลทางการเมือง ที่กลัวพรรคภูมิใจไทยได้คะแนนนิยมจากประชาชนมากเกินไป นี่จึงเป็นอีกทางที่พรรคการเมืองอื่นๆอาทิ เพื่อไทย พลังประชารัฐ ฯลฯ ใช้เพื่อสกัด พรรคภูมิใจไทย โดยไม่ยอมรับ พ.ร.บ กัญชง กัญชา และลงมติไม่เห็นชอบ
ซึ่งดูขัดแย้งกับช่วงแรกที่พรรคภูมิใจไทย ได้ยื่นเสนอร่างต่อรัฐสภา ส.ส. สว. ทั้งฝ่ายค้าน ทั้งฝ่ายรัฐบาล และ นายกรัฐมนตรี ต่างมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน คือ ยอมรับ พ.ร.บ กัญชง กัญชา และ การเปิดเสรีกัญชาให้ใช้ได้อย่างถูกกฎหมาย โดยที่ไม่ถูกระบุอยู่ใน ประเภทของยาเสพติด แต่เมื่อการแสวงหาผลประโยชน์ และ การเลือกตั้ง ได้เกิดขึ้น ทุกอย่างจึงพลิกผัน เพื่อผลประโยชน์ของตนทั้งสิ้น
เมื่อวานนี้ (4 เม.ย. 66) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (ธนาคารกรุงไทย) ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงกับ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) และ บริษัท PTT International Trading Pte Ltd ประเทศสิงคโปร์ (PTTT ถือหุ้น 100% โดย ปตท.) ในการเข้าทำสัญญาอนุพันธ์ป้องกันความเสี่ยงเชื่อมโยงคาร์บอนเครดิต หรือ Carbon Credit Linked Derivatives ซึ่งนับเป็นนวัตกรรมใหม่ของตลาดทุนไทย ที่ธนาคารได้ออกแบบและพัฒนาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการด้านการบริหารความเสี่ยงทางการเงินของ ปตท. รวมถึงเป็นการส่งเสริมเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของทั้งสองบริษัท
นอกจากนี้ยังช่วยพัฒนาตลาดการซื้อขายคาร์บอนเครดิตระหว่างองค์กรในประเทศ โดย PTTT ประเทศสิงคโปร์ จะทำหน้าที่เป็นผู้จัดหาคาร์บอนเครดิตที่มีมาตรฐานให้เพื่อใช้สำหรับลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกิจกรรมต่างๆ ในอนาคต นอกจากนี้ ข้อตกลงยังครอบคลุมถึงการบรรลุเป้าหมายด้าน ESG ของ ปตท.
นายรวินทร์ บุญญานุสาสน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงไทย ในฐานะธนาคารพาณิชย์ชั้นนำของประเทศ มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่มในทุกมิติ โดยให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) และเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) ของ United Nations Development Programme (UNDP) โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นทิศทางที่ผู้บริโภค และธุรกิจทั่วโลกให้ความสำคัญ โดยล่าสุดธนาคารลงนามบันทึกข้อตกลงกับ ปตท. และ บริษัท PTTT ประเทศสิงคโปร์ ในการเข้าทำสัญญาอนุพันธ์เพื่อป้องกันความเสี่ยงทางการเงิน (Derivatives) ที่เชื่อมโยงกับคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit Linked Derivatives) เป็นครั้งแรกในประเทศไทย นอกจากนี้ข้อตกลงยังครอบคลุมถึงการบรรลุเป้าหมายด้าน ESG ถือเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นพัฒนาและการเป็นผู้นำตลาด ESG Financial Solution ของธนาคาร ตอบโจทย์เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) ในด้านการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งเสริมการบริโภคและการผลิตอย่างมีความรับผิดชอบ และสร้างความร่วมมือเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน รวมถึงมุ่งเน้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ก้าวสู่การเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions)
“ธนาคารยังคงเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมด้านตลาดทุน และนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการทางการเงินให้กับลูกค้าอย่างครบวงจร และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ตอบโจทย์โลกธุรกิจยุคใหม่ที่มีความผันผวน และเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เสริมศักยภาพธุรกิจ และเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป”
นางสาวพรรณนลิน มหาวงศ์ธิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในสถานการณ์เศรษฐกิจโลกปัจจุบันที่มีความผันผวนอันเนื่องมาจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ เงินเฟ้อและนโยบายการบริหารจัดการดอกเบี้ยของแต่ละประเทศ ปตท. มีนโยบายการบริหารความเสี่ยงจากความผันผวนทางการเงินด้วยวิธี Natural Hedge รวมทั้ง มีการใช้เครื่องมือการบริหารความเสี่ยงเมื่อมีจังหวะและสถานการณ์ที่เหมาะสม โดยธุรกรรมนี้จะเป็นครั้งแรกที่มีการเชื่อมโยงคาร์บอนเครดิต ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมของตลาดทุนเพื่อส่งเสริมการบริหารจัดการทางการเงินให้กับองค์กรตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนของโลกยุคปัจจุบัน รวมถึงสนับสนุนให้ทั้ง 3 องค์กรมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนประเทศไทยให้บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions)
“การลงนามบันทึกข้อตกลง Carbon Credit Linked Derivatives ระหว่างธนาคารกรุงไทย ปตท. และ PTTT ในครั้งนี้ จะมีส่วนสนับสนุนกลยุทธ์ “ปรับ เปลี่ยน ปลูก” ของ ปตท. ที่ตั้งเป้าความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี 2040 และ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2050 ซึ่งเร็วกว่าเป้าหมายของประเทศ ด้วยการทำงานเชิงรุก ปรับกระบวนการผลิต ค้นคว้าพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ พร้อมทั้งเปลี่ยนสู่ธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พลังงานสะอาด ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อส่งเสริมและสร้าง EV Ecosystem ในประเทศ รวมทั้งธุรกิจใหม่ที่ไกลกว่าพลังงาน ตลอดจนเพิ่มปริมาณการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการปลูกป่าเพิ่ม 2 ล้านไร่ โดยแบ่งเป็น ปตท. 1 ล้านไร่ และความร่วมมือของบริษัทในกลุ่ม ปตท. อีก 1 ล้านไร่ ภายในปี 2030 อีกด้วย”
นายพงษ์พันธุ์ อมรวิวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า PTT International Trading Pte Ltd (PTTT) ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ปตท. เป็นผู้นำในการพัฒนาและมีความพร้อมในการดำเนินธุรกิจการค้าคาร์บอนเครดิต ทั้งในรูปแบบ Over The Counter และตลาด Exchange ทำให้สามารถเข้าถึงและขยายขอบเขตการค้าคาร์บอนเครดิตได้อย่างกว้างขวาง เพื่อให้ได้มาซึ่งคาร์บอนเครดิตที่มีมาตรฐานและได้รับการยอมรับในระดับสากล สำหรับการซื้อขายคาร์บอนเครดิตที่เชื่อมโยงในธุรกรรมครั้งนี้ จะเป็นต้นแบบในการพัฒนาตลาดสัญญาซื้อขายคาร์บอนเครดิตที่เชื่อมโยงกับอนุพันธ์เพื่อป้องกันความเสี่ยงทางการเงินหรือผลิตภัณฑ์ทางการค้าอื่นๆ ต่อไป ทั้งนี้ กลุ่ม ปตท. มุ่งมั่นและพร้อมเป็นกำลังสำคัญร่วมกับองค์กรต่างๆ ในการขับเคลื่อนประเทศสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ผ่านการดำเนินงานในทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม เพื่อบรรลุเป้าหมาย การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในระดับประเทศต่อไป
ร้านป้ายหาเสียงเริ่มกลับมาคึกคัก
วันที่ 5 เม.ย. 2566 ร้านป้ายหาเสียงเริ่มกลับมาคึกคัก หลังเงียบเหงามานาน โดยบรรยากาศที่ร้านป้ายแห่งหนึ่ง ซึ่งหลังจากมีการเปิดรับสมัคร และได้เบอร์ผู้สมัครกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้สมัครก็ต่างพากันเช็คร้านเพื่อทำป้ายหาเสียง
เจ้าของร้านกล่าวว่า ช่วงนี้ ร้านเริ่มกลับมาคึกคัก ออเดอร์มีเข้ามามากกว่าช่วงเลือกตั้งครั้งก่อน ซึ่งเมื่อวานมีประมาณ 300 ป้าย และช่วงบ่ายอีกประมาณ 400 ป้าย โดยทางร้านจัดทำแบบครบวงจร ตั้งแต่ออกแบบ ปริ้น ติดโครงไม้ พร้อมติดตั้งให้สำเร็จ
ที่มา : ThaiPBS
ในขณะที่หลายประเทศในโลก พยายามอัดแคมเปญส่งเสริมด้านการท่องเที่ยว ดึงดูดให้ชาวต่างชาติเข้ามาเที่ยวในบ้านเยอะๆ เพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศ แต่ก็มีบางประเทศที่ทำตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ถึงขนาดออกแคมเปญไล่นักท่องเที่ยว โดยเจาะจงไปที่กลุ่มนักท่องเที่ยวตลาดล่าง ที่เข้ามารบกวน ทำพฤติกรรมไม่เหมาะสม เพื่อปกป้องภาพลักษณ์ของเมือง
อย่างกรุงอันสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ที่ตอนนี้มีแคมเปญใหม่ล่าสุด ที่ขึ้นป้ายบิลบอร์ด ไล่นักท่องเที่ยวกันซึ่งๆหน้าว่า "หากคุณกำลังวางแผนเที่ยวแบบหัวราน้ำ ที่อัมสเตอร์ดัมอยู่หล่ะก็ ขอให้คิดใหม่ เพราะเมืองหลวงของเนเธอร์แลนด์แห่งนี้ไม่ต้อนรับพวกคุณ"
นอกจากนี้ยังมีการทำคลิปโฆษณา จำลองเหตุการณ์ตำรวจจับนักท่องเที่ยววัยรุ่นที่เมา โวยวายตามสถานบันเทิงยามค่ำคืน ชาวต่างชาติที่เสพยาเกินขนาดจนต้องหามส่งโรงพยาบาล หรือนักท่องเที่ยวที่กำลังมองหาโรงแรมถูก ๆ ในอัมสเตอร์ดัมเพื่อมาหาเพื่อนสายปาร์ตี้เอาดาบหน้าที่อัมสเตอร์ดัม พร้อมขึ้นคำเตือนว่า "อยากมาลองเมาเละที่อัมสเตอร์ดัม = โทษปรับ 140 ยูโร + ติดประวัติอาชญากรรม?"
นาย โซฟอัน มบาร์กี รองผู้ว่าการกรุงอัมสเตอร์ดัม ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับแคมเปญ "Stay Away - ไปให้ห่างจากอัมสเตอร์ดัม" ว่า จริงๆแล้วไม่ใช่ว่าชาวกรุงอัมสเตอร์ดัม ไม่อยากได้นักท่องเที่ยว เพียงแต่เราไม่ต้องการต้อนรับนักท่องเที่ยวที่ไร้คุณภาพ มีเป้าหมายเพียงเพื่อมาหาที่เมา ที่เสพ และอาละวาด เสียงดังจนชาวบ้านเดือดร้อน เรายอมจำกัดการเติบโตด้านการท่องเที่ยวดีกว่า เพื่อแลกกับบรรยากาศเมืองที่น่าอยู่
สิ่งที่น่าแปลก แต่จริง ก็คือ กลุ่มเป้าหมายหลักที่ทำให้ทางการอัมสเตอร์ดัมต้องหาทำแคมเปญไล่นักท่องเที่ยวในครั้งนี้ คือกลุ่มนักท่องเที่ยวชายชาวอังกฤษ อายุตั้งแต่ 18-35 ปี ที่หลายครั้งพบว่ามา สร้างปัญหาเมื่อข้ามฝั่งมาเที่ยวที่เนเธอร์แลนด์
และกรุงอัมสเตอร์ดัม เองก็มีชื่อเสียงโด่งดังในทางลบว่าเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวที่ต้องการมาแสวงหาความสำราญ เนื่องจากมีซ่องโสเภณีที่ถูกกฏหมาย กัญชาเสรี ที่สามารถหาเสพได้ง่ายตามร้านคาเฟ่กัญชาที่มีอยู่ทั่วไปในเมือง แต่เมื่อมีนักท่องเที่ยวที่กลุ่มนี้มากๆเข้า ก็สร้างความเดือดร้อนรำคาญให้แก่ชาวเมือง และทำให้บรรยากาศของเมืองเสียไป
ทางการอัมสเตอร์ดัมจึงวางแผนที่จะปรับปรุงภาพลักษณ์ของเมืองใหม่ทั้งหมด โดยออกกฏ ข้อห้ามในการสูบบุหรี่ ยาสูบตามท้องถนน ลดการจัดปาร์ตี้คนโสด หรือกิจกรรมตระเวณผับแบบหัวราน้ำ อีกทั้งยังวางแผนที่จะย้ายซ่องโสเภณี และ ธุรกิจทางเพศกว่า 100 แห่งไปอยู่ชานเมืองในเร็วๆนี้
กรุงอัมสเตอร์ดัม เคยต้อนรับนักท่องเที่ยวมากกว่า 20 ล้านคนต่อปี แต่ทางการยอมที่จะปรับลดเป้าหมายนักท่องเที่ยวลง หลังจากที่มีการปรับปรุงภาพลักษณ์ โดยขอเน้นเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวชั้นดีเพียงแค่ 10 ล้านคนต่อปีก็พอ แต่มีความยั่งยืนในธุรกิจอุตสาหกรรมท่องเที่ยวโดยรวมแบบระยะยาวจะดีกว่านั่นเอง
อ้างอิง
Euro News
วันนี้ (2 เมษายน 2566) เวลา 11.00 น. พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้โชว์ทำกุ้งกระเทียมเพื่อรับประทานเป็นอาหารกลางวัน พร้อมกับทีมงานใกล้ชิด
โดยปกติที่ผ่านมา พลเอกประวิตร ก็ชอบที่จะทำอาหารทานและเลี้ยงทีมงานใกล้ชิดโดยทุกคนที่ได้รับประทานจะติดใจฝีมือของพลเอกประวิตรและต้องขอมาลองเมนูอื่นๆอีก
ในวันนี้ ขณะทำอาหารซึ่งเป็นกุ้งกระเทียม พลเอกประวิตร มีสีหน้ายิ้มแย้มและอารมณ์ดีด้วยความชอบและรักในการทำอาหาร
พลเอกประวิตรกล่าวว่า เมนูนี้เป็นเมนูที่บิดาของพลเอกประวิตรมักจะขอให้ ตนเองทำให้คนในครอบครัวทาน เพราะพลเอกประวิตรทำได้อร่อย จนกลายเป็นเมนูของความรัก ความผูกพันในครอบครัวจนถึงวันนี้
โดยในวันอาทิตย์นี้พลเอกประวิตร ได้ใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้นยี่ห้อมหานครพิมพ์ลวดลายสุดเท่ทั้งตัว สะท้อนความเป็นไทยแบบยุคใหม่ได้เป็นอย่างดี เป็นลายกุ้ง โดยระบุคำว่า “foodie” ซึ่งแปลว่า นักชิม และคำว่า “good test good quality” ซึ่งหมายความว่า รสชาติดี คุณภาพดี เข้ากับการทำอาหารในวันนี้ เป็นวันอาทิตย์สบายๆ สไตล์ลุงป้อม
นักเคลื่อนไหวอิสระ บุกไปป่วนเวทีพรรคพลังประชารัฐ เมื่อวาน (1 เม.ย.)
หลังจากที่กลุ่ม นางสาวทานตะวัน ตัวตุลานนท์ (ตะวัน) และ นางสาวอรวรรณ ภู่พงษ์ (แบม) นักเคลื่อนไหวอิสระ บุกไปป่วนเวทีพรรคพลังประชารัฐ เมื่อวาน (1 เม.ย.)
โดยพยายามบุกเข้ามาในบริเวณหน้าเวทีปราศรัย พยายามที่จะดันเข้าไปให้ได้ จนกระทั่งเกิดความรุนแรงขึ้น โดยมีการชกต่อยกันระหว่างเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกับมวลชน เกิดความวุ่นวาย และสร้างความตกใจให้กับประชาชนที่มาร่วมฟังการปราศรัย
ชาวเน็ตได้ตั้งข้อสังเกตจากภาพที่ปรากฎอยู่ในคลิป จะมีผู้หญิงอ้วนเสื้อสีฟ้าใช้ถุงดำคลุมหัวเพื่ออำพราง ร่วมทำกิจกรรมด้วย ทราบภายหลังคือ นส.วีรดา (ทนายเฟิร์น) คงธนกุลโรจน์ เป็นทนายความเครือข่ายศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน มาโป๊ะแตก ตอนหน้าร้านแมคโดนัล ราชดำเนิน เปิดตัวว่าเป็นทนาย ตรวจสอบการทำงานของฝ่ายสืบสวน
บริหารจัดการน้ำและบำรุงรักษา สำนักงานชลประทานที่ 11 เข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ โดยมีชาวบ้านนำผลผลิตทางการเกษตร พืชผักผลไม้ที่ชาวบ้านปลูกมามอบให้นายกแจ๊ส และทีมงานเพื่อขอบคุณที่ช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาให้เกษตรชาวหนองเสือ
โดยมี นายพิษณุ พลธี อดีต ส.ส.เขต 6 ปทุมธานี พรรคภูมิใจไทย (นายกสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดปทุมธานี) และผู้นำชุมชนได้ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำในคลองส่งน้ำที่เก้า เนื่องจากเป็นคลองที่มีสภาพตื้นเขินทีสุด หากระดับน้ำในคลองระพีพัฒน์ลด น้ำในคลองส่งน้ำหลักจะแห้งอย่างรวดเร็ว ทำให้น้ำไหลเข้าคลองย่อย หรือคลองซอยตามธรรมชาติไม่ได้ จึงต้องใช้เครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ เบื้องต้น ทาง อบจ.ปทุมธานีได้นำเครื่องสูบน้ำจำนวน 8 เครื่องมาตั้งเครื่องที่บริเวณประตูระบายน้ำคลองย่อยต่าง ๆ เพื่อสูบน้ำให้เกษตรกรใช้น้ำได้อย่างปกติ
ด้าน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี กล่าวว่า วันนี้ได้ประสานชลประทาน ผู้นำชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายก อบต. ท่านนายอำเภอฯ ทุกฝ่ายมาร่วมกันระดมรับฟังปัญหาเพื่อแก้ไขปัญหาที่ถูกจุด วันนี้เกิดประโยชน์มากที่ทางกำนันผู้ใหญ่บ้าน นายกอบต.ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เมื่อรับทราบปัญหาทางชลประทานจะมีการเติมน้ำเข้ามาในคลองส่งน้ำคลองหลัก เพื่อให้เราได้สูบน้ำเข้าไปยังคลองย่อยคลองซอย ขณะนี้เกษตรกรพี่น้องชาวนาข้าวกำลังออกรวง หากเขาขาดน้ำช่วงนี้เขาจะเสียหายเลย ทางกองบรรเทาสาธารณภัยฯ อบจ.ปทุมธานีได้ลงพื้นที่มาช่วยเหลือตั้งเครื่องสูบน้ำแล้วจำนวน 8 เครื่อง โดยมีการวางแผนมานานกว่า 1 เดือน และได้ประสานชลประทานผันน้ำเข้ามา ทางนายก อบต.ต่าง ๆ เขาจะดูแลสภาพของคลองให้น้ำไหลได้สะดวก ทั้งต้นคลองกลางคลองปรายคลองน้ำต้องไหลได้อย่างปกติทั้งหมด หากจำนวน 8 เครื่องที่ทาง อบจ.ติดตั้งไปแล้วไม่เพียงพอ เราจะขอยืมมาเพิ่มอีก ซึ่งทุกหน่วยงานต้องทำงานบูรณาการร่วมกัน จึงยืนยันว่าชาวเกษตรกรอำเภอหนองเสือสบายใจได้ปีนี้น้ำไม่ขาดแต่เราต้องติดตามสถานการณ์น้ำอีก 2 เดือนต่อจากนี้ไป เราต้องมาศึกษาว่าจากที่ชาวสวนเขาปลูกพืชผักผลไม้เคยรดน้ำเช้าเย็น แต่ครั้งนี้เนื่องจากอากาศร้อนน้ำระเหยไว้ จากรดน้ำวันละ 2 ครั้ง จะต้องรดน้ำเพิ่มขึ้นถึง 4 ครั้งเพื่อให้ต้นไม้ของเขาออกผลผลิตที่มีคุณภาพดี จึงมีความจำเป็นจะต้องใช้น้ำเยอะขึ้น เมื่อเรามารับทราบปัญหาแล้วเราจะต้องแก้ไขปัญหาให้เขาให้ได้ นอกจากนี้ขอฝากประชาชนที่ทำกิจกรรมกลางแจ้ง หากไม่ไหวขอให้เบรกตัวเองอย่าฝืน เบื้องต้นได้ประสานสนามกีฬาต่าง ๆ โดยเฉพาะสนามกอล์ฟให้เตรียมรถพยาบาลไว้ เผื่อใครน็อกไป จะได้รีบไปส่งโรงพยาบาลได้อย่างทันท่วงที
พปชร. ลุยอยุธยา ตอกย้ำนโยบายเข้าถึงคนทุกกลุ่ม ปชช. แห่ฟังนโยบายแน่น
วันที่ 31 มีนาคม 2566 เวลา 17.30 น.นายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ พร้อม ด้วยนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ร่วมเวทีปราศรัย วัดลาดทราย อ.วังน้อย จ.อยุธยา โดยมีนายพิตติพรรธน์ พรรณธนะ เขต 4 นายภูมินทร์ มงคล เขต 5 นายชณทัต ปัมะภูวดล เขต 3 แนะนำตัวให้กับประชาชนในพื้นที่ โดยเสนอนโยบายที่มุ่งช่วยปากท้อง พี่น้องชาวอยุธยา โดยมีประชาชน มาร่วมฟังปราศัยกว่า 3,000 คน
นายสันติ กล่าวว่า ว่าที่ผู้สมัครทั้ง 3 เขต มีความตั้งใจที่จะเสนอตัวในการรับใช้พี่น้องประชาชนอย่างจริงใจและจริงจัง และขอมั่นใจได้ว่า ทั้งสามคนเป็นพลังของพรรคพลังประชารัฐ เป็นพื้นที่ความหวัง และความตั้งใจของพรรค ที่ทุกคนจะสามารถได้รับการตอบรับจากประชาชน เลือกมาเป็นตัวแทนที่สามารถผลักดันนโยบายต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน พร้อมกับนำความเจริญและเดินหน้าพัฒนาจังหวัด ทั้งในด้านการส่งเสริมอาชีพ สร้างความก้าวหน้าในด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่องผ่านกลไกของพรรค และรัฐบาล
นอกจากบัตรสวัสดิการประชารัฐ ที่จะเพิ่มเงินเป็น 700 บาทต่อเดือน มีนโยบายบุตร ธิดา ประชารัฐ เพื่อส่งเสริมด้านสุขอนามัย และลดภาระการเลี้ยงดูบุตร ให้กับสตรีผู้เป็นเพศแม่ ซึ่งถือเป็นผู้สร้างคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติ ในการเพิ่มจำนวนประชากร เพราะมีส่วนสำคัญในการสร้างบุคลากรเพื่อการพัฒนาประเทศต่อไป แต่ต้องยอมรับประเทศประสบปัญหา ผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น ทำให้พรรค ออกนโยบายดูแลผู้สูงอายุ เพิ่มเงินเบี้ยสวัสดิการประชารัฐ 345 678 ที่พร้อมดูแลผู้สูงอายุ 60 ปี ขึ้นไปได้ 3,000 บาท 70 ปี 4,000 บาท และ 80 ปีขึ้นไป 5,000 บาท
นอกจากนี้ยังมีเป้าหมายที่จะสร้างแหล่งเงินให้เข้าถึงประชาชนได้มากยิ่งขึ้น ผ่านนโยบายการเงินการคลัง ซึ่งจะดำเนินการให้เป็นจริง แต่ต้องอาศัยเสียงพี่น้องประชาชน มอบความไว้วางใจให้กับ พล.อ.ประวิตร เป็นนายกรัฐมนตรีและว่าที่ผู้สมัครพปชร.เป็นรัฐบาล เพื่อนำนโยบายต่างๆออกมาช่วยเหลือ รวมถึงการแก้ไขระเบียบการปล่อยกู้ของสถาบันการเงิน โดยให้นำเงินฝากที่อยู่ในระบบ 19-20 ล้านล้านบาท ต้องกำหนดให้แบ่งสัดส่วนการปล่อยกู้อย่างทั่วถึง แบ่งเป็นการจัดสรรเงินฝากในสัดส่วน 50% เพื่อนำมาปล่อยกู้ให้กับประชาชนทั้งคนชั้นกลาง ผู้มีรายได้น้อย โดยให้พี่น้องประชาชน ที่มีความต้องการวงเงินไม่เกิน ระดับ 100,000-500,000 บาท นำไปพัฒนาอาชีพ ไม่ใช่กระจุกไวปล่อยสินเชื่อเพียงระดับบนเพียงอย่างเดียว เพื่อให้ประชาชนทุกคนสามารถลืมตาอ้าปากได้
นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ดีใจ ที่เห็นพี่น้องชาวอยุธยา มารับฟังข้อมูลที่เป็นประโยชน์ จากพปชร. เนื่องจากพรรคมีนโยบายออกมาจำนวนมาก ทำมาเพื่อประชาชน ซึ่งขณะนี้ได้สื่อสารผ่านรูปแบบต่างๆทั้งยูทูป วีดีโอ ซึ่งขณะนี้ประชาชนเข้าใจและรับรู้นโยบายดีๆ ทั้งนโยบายบัตรสวัสดิการประชารัฐ เพิ่มเป็น 700 บาท นโยบายดูแลผู้สูงอายุ และนโยบายมารดาประชารัฐ ซึ่งพรรค ดูแลได้ทุกกลุ่ม และทำได้ทันที ซึ่งที่ผ่านมา พปชร.ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยมีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรค ซึ่งเป็นผู้ประสานทุกฝ่าย และมีส่วนสำคัญทำให้รัฐบาลมีเสถียรภาพ บริหารประเทศได้ 4 ปีเต็ม ซึ่งพื้นที่ จ.อยุธยา ถือว่ามีเศรษฐกิจที่ดี ค้าขายขยายตัวเจริญรุ่งเรือง ลูกหลานมีอาชีพ และเพื่อให้เกิดความมั่นคงในอาชีพ สำคัญอย่างยิ่ง คือความสงบสุข ที่จะนำมาซึ่งความเชื่อมั่น ให้กับทั้งคนไทยและต่างชาติเข้ามาลงทุน ในอยุธยาเพิ่มขึ้น นำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นต่อไป เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชาชน
แม้ว่าประชาชนบางส่วนยังประสบปัญหาความยากจน พปชร. ไม่เคยมองข้าม โดยที่ผ่านมาได้ร่วมผลักดันโครงสร้างพื้นฐาน การแก้ไขปัญหาน้ำท่วม โดยเฉพาะพื้นที่อ. บางบาน ที่มีปัญหามาก ซึ่งพล.อ.ประวิตร ได้ผลักดันให้มีการขุดคลองระบายน้ำเพิ่มขึ้นอีก 1 สายเพื่อเร่งระบายน้ำไม่ให้เกิดการท่วมขัง
การที่พรรคฝ่ายตรงข้ามพูดสิ่งไม่ดี บอกว่า 8 ปี ไม่มีอะไรเลยอมรับว่า หลายคนยังมีความลำบาก แต่วันนี้โลกเปลี่ยนไป ในฐานะเป็นรัฐมนตรีกระทรวงดีอี ได้มีการส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงระบบอินเตอร์เน็ต และสามารถทำการค้าผ่าน ระบบสร้างรายได้เพิ่มขึ้น ด้วยการขายสินค้าผ่านระบบออนไลน์ การนำระบบอินเตอร์เนตเพื่อสนับสนุนการค้าระบบใหม่ เพราะวันนี้เมืองไทยพัฒนาไปไกลมากแล้ว เพียงแค่ทุกคนสามารถใช้เครื่องมือสื่อสารผ่านระบบสมาร์ทโฟน ก็เข้าไปขายสินค้าสร้างรายได้รูปแบบใหม่ได้ และยังมีอีกหลายโครงการที่จะทำให้ พี่น้องประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุด
“หากพล.อ.ประวิตรได้เป็นนายก เพิ่มเงินเป็น 700 บาทแน่นอน ต้องบอกว่า วันนี้มีสีเสื้อไม่มีอีกแล้ว หาก บ้านเมืองยังมีปัญหา ทำให้ประชาชนเดือดร้อน นักการเมือง ประชาชน ทะเลาะกัน หากเลือกเรา พปชร.ก็จะได้พรรคการเมืองที่เข้มแข็ง ที่ได้เข้าไปจัดตั้งรัฐบาล พร้อมทำงานให้ประชาชน เพราะเราก้าวข้ามความขัดแย้ง เราทำทุกนโยบายได้ทันที การจัดตั้งรัฐบาลได้ ความขัดแย้งไม่เกิด เราต้องจับมือ เลือกตั้งพรรคที่ดี ไม่ได้เลือกตั้งเพราะเปลี่ยนประเทศไทย เพราะประเทศไทยเป็นราชอาณาจักร เรายึดมั่นในสถาบันพระมหากษัตรย์ ต้องปกป้องรักษา ดังนั้นวันที่ 14 พ.ค.นี้ ขอให้พี่น้อง ประชาชน เลือกทั้งคนและพรรค เพื่อให้ พปชร.ได้เป็นรัฐบาล พร้อมดูแลพี่น้องประชาชน”
กระทรวงดิจิทัลฯ โดย ดีป้า ปักหมุดจังหวัดสิงห์บุรี สานต่อกิจกรรมจัดแสดงเทคโนโลยีดิจิทัล ครั้งที่ 2
วันที่ 31 มีนาคม 2566, จังหวัดสิงห์บุรี - กระทรวงดิจิทัลฯ โดย ดีป้า ปักหมุดจังหวัดสิงห์บุรี สานต่อกิจกรรมจัดแสดงเทคโนโลยีดิจิทัล ครั้งที่ 2 ภายใต้โครงการ Transform ตลาดสดยุควิถีใหม่ (ขยายผล) เร่งส่งเสริมพ่อค้าแม่ค้า หาบเร่ แผงลอย และเอสเอ็มอีไทยในจังหวัดและพื้นที่ใกล้เคียงสามารถยกระดับธุรกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล
นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เป็นประธานเปิดกิจกรรมจัดแสดงเทคโนโลยีดิจิทัล ครั้งที่ 2 ภายใต้โครงการ Transform ตลาดสดยุควิถีใหม่ (ขยายผล) โดยมี นายสุพจน์ ยศสิงห์คำ ผู้ว่าราชการจังหวัดสิงห์บุรี ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่
สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า ผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ผู้ประกอบการ รวมถึงประชาชนที่สนใจในจังหวัดสิงห์บุรีและพื้นที่ใกล้เคียงร่วมกิจกรรมโดยพร้อมเพรียง
นายชัยวุฒิ เปิดเผยว่า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ส่งผลให้ผู้บริโภคคุ้นชินกับการใช้เทคโนโลยีมากขึ้นและกลายเป็นชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) ภาคธุรกิจจึงจำเป็นต้องหาแนวทางการเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายในทุกช่องทาง
ซึ่งปัจจุบันการซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ตเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยขยายตัวสูงถึง 155% ด้วยปัจจัยดังกล่าว กระทรวงดิจิทัลฯ โดย ดีป้า จึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะดิจิทัลเพื่อให้ผู้ประกอบการทุกระดับ โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)
รวมถึงผู้ประกอบการรายย่อยสามารถเข้าถึงและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยยกระดับการบริหารจัดการธุรกิจ ลดต้นทุน เพิ่มรายได้ ขยายช่องทางการเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภค และสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างเข้มแข็งในยุคดิจิทัลผ่านโครงการ Transform ตลาดสดยุควิถีใหม่ ที่เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2565 และขยายผลต่อเนื่องในปี 2566
“สิงห์บุรีเป็นหนึ่งในพื้นที่นำร่องโครงการ Transform ตลาดสดยุควิถีใหม่และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยตลาดสดเทศบาลเมืองสิงห์บุรี ถือเป็นแหล่งเศรษฐกิจขนาดใหญ่ เป็นศูนย์กลางอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภค หากพ่อค้าแม่ค้า หาบเร่ แผงลอยสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัล มีทักษะและประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์จะสามารถเพิ่มศักยภาพการดำเนินธุรกิจในยุคชีวิตวิถีใหม่ที่มีเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนกิจกรรมต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจ และช่วยให้ผู้ประกอบการสร้างโอกาสใหม่ ๆ ด้านการตลาด ลดต้นทุน เพิ่มรายได้ มีช่องทางเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น อีกทั้งยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันได้อีกด้วย” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ กล่าว
ด้าน ผศ.ดร.ณัฐพล กล่าวว่า ปี 2566 ดีป้า ได้จัดทำโครงการ Transform ตลาดสดยุควิถีใหม่ (ขยายผล) เพื่อต่อยอดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล สร้างสังคมคุณภาพอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ผลักดันให้ภาคธุรกิจอุตสาหกรรมและภาคการเกษตรของไทยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการลดต้นทุนการผลิตสินค้าและบริการ เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจ พัฒนาศักยภาพไปสู่การแข่งขันรูปแบบใหม่ในระยะยาว ผ่านการจัดกิจกรรมในรูปแบบต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง
.
สำหรับ กิจกรรมจัดแสดงเทคโนโลยีดิจิทัล ครั้งที่ 2 ภายใต้โครงการ Transform ตลาดสดยุควิถีใหม่ (ขยายผล) ณ จังหวัดสิงห์บุรี จะเป็นการจัดกิจกรรมต่อเนื่อง 2 วัน (30-31 มีนาคม) โดยวันแรกเป็นกิจกรรมอบรม เชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาทักษะให้ผู้ประกอบการในหัวข้อ “ติดปีก SMEs ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยดิจิทัล” ให้ความรู้
ด้านการทำตลาดออนไลน์ และการใช้งานแอปพลิเคชัน Canva บนมือถือ ณ ห้องประชุมทองแสงใหญ่ ศาลากลาง อำเภอเมือง ส่วนวันที่สองเป็นการจัดแสดงเทคโนโลยีดิจิทัล พร้อมเวทีเสวนาและกิจกรรมจับคู่ธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการในพื้นที่และผู้ให้บริการดิจิทัล ณ ตลาดสดเทศบาลสิงห์บุรี พ.ศ.2560 เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ประกอบการได้ครอบคลุมทุกกลุ่ม
“ดีป้า มองว่า ผู้ประกอบการในจังหวัดสิงห์บุรีจะใช้โอกาสจากกิจกรรมจัดแสดงเทคโนโลยีดิจิทัล ภายใต้โครงการ Transform ตลาดสดยุควิถีใหม่ (ขยายผล) ครั้งนี้เพื่อยกระดับและพัฒนาทักษะ องค์ความรู้ สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลที่หลากหลาย และเลือกประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสมเพื่อเสริมประสิทธิภาพให้กับธุรกิจของตนเองให้สามารถแข่งขันได้ อีกทั้งเป็นการเตรียมความพร้อมประเทศไทยให้ก้าวสู่สังคมไร้เงินสดอย่างเต็มรูปแบบต่อไป” ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว
ด้าน นายสุพจน์ กล่าวว่า สิงห์บุรีเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีความอุดมสมบูรณ์ และนับเป็นแหล่งผลิตด้านประมงน้ำจืดที่สำคัญจังหวัดหนึ่งในภาคกลาง เนื่องจากมีแม่น้ำสำคัญไหลผ่านจังหวัด 3 สาย คือ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำน้อย และแม่น้ำลพบุรี รวมทั้งคลองชลประทานและห้วยหนองคลองบึงขนาดเล็กอีกจำนวนมาก นำไปสู่การเป็นแหล่งผลิตปลาช่อนแม่ลาที่มีชื่อเสียง นอกจากนี้ การท่องเที่ยวของสิงห์บุรียังมีศักยภาพในการดึงดูดนักท่องเที่ยวและมีรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากงานประจำจังหวัด เช่น เทศกาลกินปลา
“การที่จังหวัดสิงห์บุรีมีส่วนร่วมในกิจกรรมจัดแสดงเทคโนโลยีดิจิทัล โครงการ Transform ตลาดสดยุควิถีใหม่ (ขยายผล) จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการในพื้นที่ในด้านขององค์ความรู้ ความเข้าใจ และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะพ่อค้า แม่ค้า หาบเร่ แผงลอย สามารถเพิ่มโอกาสในการค้าขายและการให้บริการรูปแบบใหม่ ๆ ตามเทรนด์ผู้บริโภคยุคใหม่ และจะส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจของจังหวัดเติบโตอย่างมั่งคั่งยั่งยืนต่อไป” ผู้ว่าราชการจังหวัดสิงห์บุรี กล่าว
สำหรับกิจกรรมจัดแสดงเทคโนโลยีดิจิทัล โครงการ Transform ตลาดสดยุควิถีใหม่ (ขยายผล) จะจัดขึ้นในจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ อาทิ พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี สิงห์บุรี ชลบุรี ระยอง นครราชสีมา มหาสารคาม ขอนแก่น เชียงราย เชียงใหม่ ราชบุรี ประจวบคีรีขันธ์ นครศรีธรรมราช ภูเก็ต และสงขลา ตั้งแต่เดือนมีนาคม - สิงหาคม 2566
โดยผู้สนใจสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารและรายละเอียดได้ที่ : www.transformmarket.com
หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ LINE OA : Transform Marketing
ขออาสา พัฒนาปทุมธานี พร้อมลุยแก้ปัญหาน้ำท่วม ถนนทุกสายต้องปลอดภัย มีไฟส่องสว่าง
วันที่ 30 มีนาคม 2566 เวลา 14.30 น.ผู้สื่อข่าวรายงานจากบางกอก อารีน่า เขตหนองจอก กทม.นายเสวก ประเสริฐสุข ว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต.1 ปทุมธานี หัวหน้าทีมพลังประชารัฐ พัฒนาปทุมธานี พร้อมด้วย
-นายนพดล ลัดดาแย้ม ว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต.2
-ดร.ปรีชาชื่น ชนกพิบูล ว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต.3 ปทุมธานี
-นายยุทธวัฒน์ หาญเกียรติกล้า ว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต.4
-นายวิรัช พยุงวงษ์ ว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต.5
-ดร.เกียรติศักดิ์ ส่องแสง ว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต.6
-น.ส กฤษณา วงศ์คำ ว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต.7 ร่วมเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 400 คน และผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ 92 คน
และเปิดนโยบายพรรค นำโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพปชร.พร้อมคณะกรรมการบริหารพรรค นายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรค นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรค นายสกลธี ภัททิยกุล และแกนนำภาค ร่วมงานพร้อมเพรียง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนเริ่มกิจกรรม เจ้าหน้าที่ได้เปิดให้ว่าที่ผู้สมัครส.ส.ลงทะเบียนและรับคู่มือชี้แจงขั้นตอนการเตรียมเอกสมัคร และข้อห้ามในการหาเสียง
ขณะที่บรรยากาศในงาน ได้เปิดวิดีทัศน์การลงพื้นที่ของ พล.อ.ประวิตร ในการปราศรัยช่วยว่าที่ผู้สมัครของพรรค ให้กองเชียร์ที่เดินทางมาจากทุกภาคและใน กทม.เต็มความจุอัฒจันทร์ รับชม ก่อนที่พิธีกรได้เปิดตัวผู้สมัคร ส.ส. เป็นรายภาค ให้เดินทักทายและถ่ายรูปกับกองเชียร์ ที่ถือป้ายไฟส่งเสียงต้อนรับว่าที่ผู้สมัครอย่างสนุกสนาน ผู้สื่อข่าวรายงาน สำหรับนโยบายพรรค พปชร.จะมุ่งฟื้นเศรษฐกิจและแก้ไขปัญหาครบทุกมิติให้มีการเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วย “นโยบาย 3 เร่งด่วน 8 เร่งรัด”
โดย 3 นโยบายเร่งด่วน ได้แก่
1. แก้หนี้ประชาชน ผู้ประกอบการให้เบ็ดเสร็จ เติมทุนด้วยวิธีใหม่ ควบคู่สร้างโอกาสใหม่ โดยทำทันที
2. ดูแลสวัสดิการ เสริมทักษะ ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
3.การยกระดับคุณภาพชีวิตทุกช่วงวัย
ต่อมาผู้สื่อข่าวได้สอบถาม ดร.ปรีชาชื่นชนกวิบูล ว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต.3 จังหวัดปทุมธานีที่มาร่วมงานเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 400 เขต พรรคพลังประชารัฐ โดยได้กล่าวเพิ่มเติมกับผู้สื่อข่าวว่า วันนี้ได้มาร่วมเปิดตัวกับทีมงานว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคพลังประชารัฐจังหวัดปทุมธานี ทั้ง 7 คน 7 เขต อย่างเป็นการ
นำโดยนายเสวก ประเสริฐสุข หัวหน้าทีม “พลังประชารัฐ พัฒนาปทุมธานี“ บรรยากาศโดยรวมเป็นไปด้วยความคึกคักมีบรรดาผู้สมัครทั้ง 400 เขตพร้อมด้วยกองเชียร์มากันมากมาย เต็มพื้นที่ประมาณเกือบ 3,000 กว่าคนและ สุดท้ายนี้ขอฝากทีมงานพลังประชารัฐ ปทุมธานีทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเขต 1 ถึงเขต 7 เลือกพลังประชารัฐพัฒนปทุมธานี (ยกทีม)
ต่อไปนี้ปทุมธานีน้ำจะไม่ท่วมและอำเภอคลองหลวง เขตที่ผมอยู่ ถนนทุกสายต้องปลอดภัย มีไฟฟ้าส่องสว่างทุกพื้นที่ ฝากไว้ด้วยครับ ดร.ปรีชา ชื่นชนกพิบูล ว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต 3 ปทุมธานี
บิ๊กป้อม เปิดขุนพล 400 เขต เผยนโยบายแก้ไขปัญหาปากท้อง ลั่น แก้ปัญหาเศรษฐกิจ ทำได้ทันที
วันที่ 30 มีนาคม 2566 พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพปชร.พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารพรรค อาทิ นายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรค,นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค,นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรค นายสกลธี ภัททิยกุล หัวหน้าทีมดูแลการเลือกตั้ง ส.ส.กทม.และแกนนำภาคร่วมงานพร้อมเพรียง และคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านต่าง ๆ จัดกิจกรรม “เปิดตัวว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขต ทั่วประเทศ และว่าที่ผู้สมัครสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พร้อมเปิดนโยบายพรรคพลังประชารัฐ” ร่วมกับว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. 400 เขตทั่วประเทศ และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ที่จะนำนโยบายของพรรคที่จะเข้าไปแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน ผ่านกลไกนโยบายที่พรรคจะนำเสนอ ทั้งทางด้านสวัสดิการประชารัฐ สังคมประชารัฐ และเศรษฐกิจประชารัฐ ที่มีเป้าหมายให้ประชาชนหลุดพ้นจากความยากจน มั่นใจได้ว่าทุกนโยบายพร้อมทำได้ทันทีเมื่อได้เป็นรัฐบาล ที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตครอบคลุมทุกกลุ่ม ทุกช่วงวัย ได้มีอาชีพที่มั่นคง มีรายได้ที่ยั่งยืน
โดย พล.อ.ประวิตร กล่าวบนเวทีว่า สวัสดีครับพี่น้องประชาชนที่รักทุกท่านวันนี้ ผมรู้สึก อบอุ่นใจเป็นอย่างยิ่ง การเลือกตั้งในครั้งนี้พรรคพลังประชารัฐ พร้อมแล้วที่จะเข้ามารับใช้ประชาชน ผมอยากจะสื่อสารให้พี่น้องประชาชนชาวไทยทราบว่าคนไทยทุกคนเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นพี่น้องร่วมชาติ ที่ผ่านมา ประเทศของเราพัฒนาได้ยาก เพราะความขัดแย้ง และความแตกแยก ผมจึงขอเชิญชวนทุกท่านร่วมใจกัน ก้าวข้ามความขัดแย้ง ด้วยความรัก ความเข้าใจเห็นอกเห็นใจ ซึ่งกันและกัน
"ผมพร้อม ที่จะประสานประโยชน์ กับทุกฝ่ายพร้อมที่จะนำ ความรัก ความสามัคคีมาสู่ ประเทศชาติ ของเราคนไทย ต้องรักกันสามัคคีกันเป็นหนึ่งเดียวเพื่อสร้างความสงบสุข ความเจริญรุ่งเรืองให้กับ ประเทศชาติ และประชาชน เมื่อเราก้าวข้ามความขัดแย้งได้เราก็จะมีพลัง ที่จะก้าวข้ามความยากจนไปด้วยกัน"
พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า พี่น้องครับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นนี้เป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญของท่านทั้งหลายที่จะให้พรรคใดมาบริหารประเทศ พรรคพลังประชารัฐได้นำเสนอนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากมายดังที่ได้รับชมในวีดิทัศน์ไป เมื่อสักครู่นี้แล้ว ทีมเศรษฐกิจของเราคิดไว้มากมาย การเลือกตั้งครั้งนี้ถ้าเราได้คะแนนมาเป็นที่หนึ่งจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ทันที ขับเคลื่อนนโยบายที่ทำไว้ ทั้งนโยบายบัตรประชารัฐ 700 บาท ต่อเดือน การลดราคาน้ำมัน ลดราคาแก๊สและลดค่าไฟฟ้า การดูแลคนไทยทุกช่วงวัย ทั้งเบี้ยประชาชน ผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปี ขึ้นไป มารดาที่ตั้งท้องตั้งแต่เดือนที่ 5 จะช่วยเหลือค่าใช้จ่ายจนถึงวันคลอดและดูแล ทารกหลังคลอด จนถึง 6 ขวบ นโยบายในเรื่องน้ำ มีเราต้องไม่มีแล้ง โดยจะพัฒนาแหล่งน้ำ ระบบชลประทานแก้ปัญหา น้ำท่วม น้ำแล้ง น้ำอุปโภคบริโภค น้ำเพื่อการเกษตรส่งเสริม ตนยืนยันว่ามีเราจะไม่มีแล้งอีกต่อไป ส่งเสริมสิทธิที่ดินทำกิน มีเราต้องมีที่ดินทำกิน ถ้ามีที่ทำกินไม่มีจน จะก้าวข้ามความยากจนได้ เราจะแก้ปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างงาน สร้างรายได้ยกระดับ การศึกษา เศรษฐกิจฐานรากภาคอุตสาหกรรม การคมนาคมและนโยบายอื่น ๆ อีกมากมาย
พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า การแก้ปัญหายาเสพติด ทั้งการป้องกันปราบปรามและบำบัดฟื้นฟูอย่างจริงจังเราจะปราบปรามผู้มีอิทธิพล อาชญากรรมข้ามชาติการฉ้อโกงออนไลน์ แชร์ลูกโซ่ และหนี้นอกระบบ เราจะทำทุกวิถีทาง เพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดี และมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เราคือครอบครัวเดียวกัน เราจะรักสามัคคีกันเป็นหนึ่งเดียว
“ขอให้เชื่อมั่นผม เชื่อมั่นในพรรคพลังประชารัฐ และผู้สมัครฯ ทั้ง 400 เขต และส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่ยืนอยู่ตรงนี้ ผมขอประกาศกับพี่น้องประชาชนทั่วประเทศว่าพวกเราทำได้ และพร้อมแล้วที่จะรับใช้ประชาชน พี่น้องครับวันอาทิตย์ที่ 14 พ.ค. นี้โปรดกาบัตรเลือกพลังประชารัฐ ทั้ง 2 ใบ เลือกทั้งคน เลือกทั้งพรรค เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง และก้าวข้ามความยากจนไปด้วยกัน”พล.อ.ประวิตร กล่าว
นอกจากนี้ ภายในงานพรรคพลังประชารัฐ ได้นำเสนอคลิปวิดีโอเกี่ยวกับนโยบายที่จะมุ่งฟื้นเศรษฐกิจและการแก้ไขปัญหาครบทุกมิติให้มีการเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วย “นโยบาย 3 เร่งด่วน 8 เร่งรัด” โดย “3 นโยบายเร่งด่วน”ประกอบด้วย 1. แก้หนี้ประชาชน ผู้ประกอบการ ให้เบ็ดเสร็จ เติมทุนด้วยวิธีใหม่ ควบคู่สร้างโอกาสใหม่ โดยทำทันที 2. ดูแลสวัสดิการ เสริมทักษะ ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 3. การยกระดับคุณภาพชีวิตทุกช่วงวัย
และ “8 นโยบายเร่งรัด” วางรากฐานเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ประกอบด้วย 1. ยกระดับเศรษฐกิจฐานราก ส่งเสริมภาคการเกษตร วิสาหกิจชุมชนเชื่อมโยงกับภาคอุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว 2. ยกเครื่องภาคอุตสาหกรรมเดิม สู่เศรษฐกิจใหม่ในอุตสาหกรรม S-curve เพื่อขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม เข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัล และเศรษฐกิจ BCG 3. เร่งพัฒนาพื้นที่เชิงยุทธศาสตร์ ทั้ง อีอีซี และขยายพื้นที่ยุทธศาสตร์ใหม่ 4. ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทุกระบบทั้งถนน ราง น้ำ และอากาศ รวมถึงพัฒนาโครงเครือข่าย 5G ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ การต่อยอดพร้อมเพย์ และเป๋าตังค์ ให้คนไทยเข้าสู่ Digital Economy อย่างแท้จริง 5. พัฒนาทรัพยากรมนุษย์รองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ทั้งระดับปวช. ปวส. ให้เรียนฟรีมีงานทำ พัฒนาแพลตฟอร์มเชื่อมแหล่งงาน เพื่อสร้างรายได้ระหว่างเรียน ส่วนแรงงานเดิมจะส่งเสริมเข้าโปรแกรมเพิ่มทักษะให้สอดรับกับอุตสาหกรรมสมัยใหม่ 6. ปฎิรูประบบราชการ แก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรค เพื่อส่งเสริมให้เกิดเอสเอ็มอีที่มีความเข้มแข็ง 7. ปฏิรูประบบงบประมาณ กระจายอำนาจการปกครองส่วนท้องถิ่น สู่การพลิกฟื้นเศรษฐกิจ เพื่อเข้าสู่งบประมาณสมดุลในระยะยาว เพื่อส่งเสริมการขับเคลื่อนให้ท้องถิ่นเข้มแข็ง ที่ตอบสนองความต้องการของพื้นที่ได้อย่างตรงจุด และ 8. ต่อต้านคอร์รัปชั่นเต็มรูปแบบ สร้างระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่ลดการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ เพิ่มโทษนักการเมืองที่ทุจริตคอร์รัปชันเป็นสองเท่า รวมถึงมีเทคโนโลยีบล็อคเชนที่จะนำมาใช้ในโครงการประมูลภาครัฐขนาดใหญ่
ทั้งนี้ บรรยากาศภายในงานได้มีประชาชนที่เดินทางมาจากทุกภาคและในกทม.เต็มความจุอัฒจันทร์ โดยว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ต่างเดินทักทาย และถ่ายรูปกับประชาชนที่ถือป้ายไฟส่งเสียงต้อนรับว่าที่ผู้สมัครอย่างสนุกสนาน นอกจากนี้ยังมีศิลปินดารา กลุ่มนางงาม,นายแบบ,อินฟลูเอนเซอร์จากหลากหลายอาชีพ ,LGBTQ,กลุ่มนักแข่งเกมส์ อีสปอร์ต มาร่วมรับฟังนโยบายของพรรค พปชร.ด้วย
วันที่ 29 มี.ค.2566 - นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค
เพื่อพิจารณารายชื่อผู้สมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขต และ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ว่า พรรคมีมติส่งผู้สมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขตจำนวน 50 เขต โดยพรรคจะกำชับผู้สมัคร ส.ส.เรื่องการลงพื้นที่ ให้ระมัดระวังเรื่องคำพูด และการกระทำไม่ให้ผิดกฎหมายเลือกตั้ง และหากมีอะไรสงสัยให้สอบถามคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โดยในวันที่ 31 มี.ค. จะมีการปฐมนิเทศผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคทั้งหมด
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีข้อกังวลเกี่ยวกับการแบ่งเขตใหม่หรือไม่ โดยเฉพาะพื้นที่ที่พรรคมี ส.ส.เก่า อย่าง จ.สุพรรณบุรี นครปฐม ที่มีเขตเลือกตั้งเพิ่มขึ้น นายวราวุธ กล่าวว่า ไม่กังวล สมัยรัฐธรรมนูญปี 40 เราเคยใช้ระบบเลือกตั้งแบบบัตรสองใบมาแล้ว และจำนวนเขตเลือกตั้งคล้ายกับครั้งนี้ และผู้สมัคร ส.ส.ทั้งสองจังหวัดคุ้นเคยกับพื้นที่ดี
เมื่อถามว่า ขณะนี้มีหลายพรรคจ้องที่จะมาแย่งที่นั่ง ส.ส.ใน จ.สุพรรณบุรี นายวราวุธ กล่าวว่า ไม่มีปัญหา ทุกพรรคหมายมั่นปั้นมือเช่นกัน แต่เราหมายมั่นใหญ่กว่า ใครอยากจะมาก็เชิญ ถ้าท่านอยากจะเอาสรรพกำลังมาเปลืองที่สุพรรณบุรีก็ไม่ว่า
เมื่อถามถึงหลักในการจัดทำรายชื่อผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อครั้งนี้อย่างไร นายวราวุธ กล่าวว่า สำหรับการจัดลำดับ เราดูทั้งในเชิงพื้นที่ ศักยภาพการทำงานให้กับพรรค สัดส่วนของสุภาพสตรีและบุรุษ เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมทางเพศ จะเห็นว่าใน 10 อันดับแรก มีสุภาพสตรีถึง 40% สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจในการเดินหน้าไปด้วยกัน ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
ถามว่า มองอย่างไรกับที่บางพรรคแคนดิเดตนายกฯ ไม่ได้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. นายวราวุธ กล่าวว่า เป็นสิทธิของแต่ละพรรคที่จะพิจารณา แต่ละพรรคจะมีแนวคิดต่างกัน เป็นความสมัครใจ ไม่มีกฎหมายบังคับเอาไว้ แต่ในส่วนของ ชทพ.แคนดิเดตนายกฯและผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 คือ คนๆ เดียวกัน
เมื่อถามว่า จะแก้รัฐธรรมนูญให้ผู้ที่จะมาเป็นนายกฯ จะต้องมาจากการเลือกตั้งเพื่อให้ยึดโยงกับประชาชนหรือไม่ นายวราวุธ กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวคงไม่ใช่หน้าที่ของตนเอง หรือใครคนใดคนหนึ่ง แต่คงเป็นเสียงสะท้อนที่จะผ่านจากประชาชนมายังกลไกสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.)
ซึ่งเป็นรูปแบบที่พรรคต้องการผลักดันให้เกิดขึ้นในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เหมือนที่เคยดำเนินการมาแล้ว
ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 4 ลพบุรี พรรคเสรีรวมไทย ออกติดตั้งป้ายแนะนำตัว ขอคะแนนเสียง
วันที่ 28 มี.ค. 66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ยิ่งวันใกล้รับสมัครรับการเลือกตั้งเข้ามาทุกที ว่าที่ผู้สมัคร พรรคเสรีรวมไทย จังหวัดลพบุรี เขต 4 อย่าง พันโท ณัฐธพงษ์ บัวบาล นายทหารนอกราชการ ( ข้าราชการบำนาญ )
ด้วยใจรักการเมืองโดยเฉพาะ รักพรรคการเมืองอย่าง พรรคเสรีรวมไทย ไม่รองบประมาณจากพรรค ชวนเพื่อนคู่ใจออกติดตั้งป้ายพรรค และติดป้ายแนะนำตัวของตัว ในเขต 4 แบบไม่มีกองเชียร์แต่อย่างใด ไปกับเพื่อนคู่ใจ หนึ่งคน และลูกน้องติดป้ายอีก 1 คน ช่วยกัน ติดป้ายหาแนะนำตัว
โดย พันโท ณัฐธพงษ์ กล่าวว่า ใกล้วันรับสมัครรับการเลือกตั้งแล้วเลยชวนเพื่อน และลูกน้องอีก 1 คน มาช่วยกันติดตั้งป้ายแนะนำตัวเอง และแนะนำพรรค เพราะรู้ว่าพรรคเราไม่ค่อยมีเงิน ดังนั้นจึงต้องออกแรงเอง ไม่อย่างนั้นสู้พรรคอื่นไม่ได้แน่นอน เพราะพรรคแต่ละพรรคในเขตนี้มีแต่พรรคที่มีตังค์ทั้งนั้นเลย
เมื่อวันที่ 26 มีนาคม ที่ลานตลาดนัดวันอาทิตย์ อ.เมือง จ.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้กล่าวปราศรัยบนเวทีของพรรค พปชร.ว่า บางคน บางพรรคยังพูดถึงโครงการเก่าในอดีต
โดยไม่ดูบริบทการเมือง เปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว ผมลงพื้นที่สงสารพี่น้องประชาชน บางพรรคยังพูดถึงกองทุนหมู่บ้านนโยบายเมื่อ 20 ปีที่แล้วซึ่งที่ตนเองได้ลงพื้นที่นั้น ประชาชนได้รับความเดือดร้อนกันมากจากกองทุนหมู่บ้าน พรรค พปชร.จะยกเลิกกองทุนหมู่บ้าน ประชาชนจะได้ไม่ต้องเป็นหนี้
นายชัยวุฒิกล่าวต่อว่า เพราะเป็นกองทุนที่สร้างหนี้ให้กับประชาชน จะได้ไม่ต้องสร้างหนี้ให้กับประชาชน เราต้องมองอนาคต ต้องมองนโยบายของพรรคการเมืองที่ทำให้ประชาชนได้ประโยชน์ พร้อมมองว่ามีบางพรรคการเมืองได้คิดนโยบายที่ไกลเกินไป การเลือกตั้งนั้นให้มาเปลี่ยนรัฐบาล แต่อยากเปลี่ยนประเทศไทย คุณทำได้ไหม
“ถ้าคนเราเห็นว่าโลกที่เราอยู่มันไม่ดีและมีปัญหาแล้วอยากเปลี่ยนโลกนั้น มีแต่คนบ้าเท่านั้นเพราะโลกเปลี่ยนไม่ได้ แต่ทำให้โลกนี้ดีได้ โดยการตั้งใจทำความดี ทุกอย่างจะดีขึ้นเอง แต่บางพรรคคิดไกลกว่านั้น ไกลแบบที่รู้ว่าคิดอะไร ไม่อยากเปลี่ยนรัฐบาล อยากเปลี่ยนอะไรวะ แล้วเรายอมให้มันเปลี่ยนไหม เขาปลุกระดม ให้ข้อมูลผิดๆ ทำให้คนแตกแยก ทะเลาะกัน ซึ่งนี่คือนโยบายสำคัญของพรรคพลังประชารัฐที่จะมาก้าวข้ามความขัดแย้ง” นายชัยวุฒิกล่าว
นายชัยวุฒิกล่าวด้วยว่า วันนี้ติดตามจากสื่อเห็นว่าโพลต่างๆ ไม่มีชื่อของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่รู้ว่าลืมใส่ หรือลุงป้อมไม่ได้จ่ายเงิน การเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งของพวกเรา
เพราะเรามีนโยบาย มีความตั้งใจที่จะทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน และเขาก็จะผลักดันให้ พล.อ.ประวิตร เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อนำนโยบายต่างๆ มาทำประโยชน์ให้กับประชาชน ไม่มีการสืบทอดอำนาจ ไม่มีการเอาเปรียบใคร ทุกอย่างเป็นไปตามประชาธิปไตย
มีมติเลือกให้ นายเจเศรษฐ์ ไทยเศรษฐ์ เป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1
เวลา 09.50 น. วันที่ 27 มี.ค.66 บรรยากาศการเคลื่อนไหวทางการเมืองในพื้นที่จังหวัดอุทัยธานี หลังจากที่ หลังจากที่ กกต.ประกาศกำหนดวันเลือกตั้ง วันรับสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรออกมาอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2566 ที่ผ่านมา โดยกำหนดให้วันที่ 3 เมษายน ถึงวันที่ 7 เมษายน พ.ศ.2566
ตั้งแต่เวลา 08.30 น. ถึงเวลา 16.30 น. เป็นวันรับสมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง และ วันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ.2566 ตั้งแต่เวลา 08.00 น. ถึงเวลา17.00 น. เป็นวันเลือกตั้ง ส่งผลให้แต่ละพรรคการเมือง ทุกจังหวัดทั่วประเทศ เริ่มมีการเคลื่อนไหวทางการเมืองกันมากขึ้นตามลำดับ
พรรคภูมิใจไทย เช้าวันนี้ได้มีการจัดการจัดประชุมสมาชิกพรรค เพื่อรับฟังความคิดเห็นการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนธาษฎรจังหวัดอุทัยธานี หรือ ไพรมารีโหวต (primary vote) เพื่อลงมติเลือกว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคภูมิใจไทย ทั้ง 2 เขตเลือกตั้ง ขึ้นที่บ้านดอนหมื่นแสน เลขที่ 32 หมู่ที่ 4 ตำบลหนองพังค่า อำเภอเมืองเมือง จังหวัดอุทัยธานี ประกอบด้วย เขตเลือกตั้งที่ 1 ที่มีว่าที่ผู้สมัคร คือ นายเจเศรษฐ์ ไทยเศรษฐ์ และ เขตเลือกตั้ง ที่ 2 คือ นายชาดา ไทยเศรษฐ์ ซึ่งบรรยากาศ เช้าวันนี้มีสมาชิกเดินทางมาเข้าร่วมประชุมกันอย่างคึกคัก
โดย นายยิ่งยศ สมประสงค์ ตัวแทนพรรคภูมิใจไทย เขตที่ 1 ประจำจังหวัดอุทัยธานี และเป็นประธานในที่ประชุมในครั้งนี้ เปิดเผยว่า การประชุมในครั้งนี้ จัดทำขึ้นเพื่อให้สมาชิกพรรคทำการโหวดคัดเลือกว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอนที่ทาง กกต.ได้กำหนดให้มีการจัดทำขั้นตอนดังกล่าว
ซึ่งพรรคภูมิใจไทย นั้นมีสมาชิกทั้ง 2 เลือกตั้ง รวมแล้วประมาณ 1,000 กว่าคน โดยวันนี้ได้มีการเชิญตัวแทนสมาชิกพรรคทั้ง 2 เขต เข้ามาทำการไพรมารีโหวต ที่ประมาณ 147 คน นายยิ่งยศ ฯ กล่าว
ทั้งนี้ ผลการประชุมสมาชิกพรรคภูมิใจไทย เพื่อรับฟังความคิดเห็นการสรรหา ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนธาษฎร จังหวัดอุทัยธานี หรือ ไพรมารีโหวต (primary vote) เพื่อลงมติเลือกว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคภูมิใจไทย ทั้ง 2 เขตเลือกตั้งในครั้งนี้ สมาชิก ฯ มีมติเลือกให้ นายเจเศรษฐ์ ไทยเศรษฐ์ เป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 และให้ นายชาดา ไทยเศรษฐ์ เป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2